พฤติกรรมเสี่ยง
- ไม่ออกกำลังกาย มีน้ำหนักเกิน
เนื่องจากคนที่มีน้ำหนักตัวมากความดันในช่องท้องจะสูง ส่งผลให้กระเพาะอาหารเหลือพื้นที่น้อยลง จนไม่สามารถรองรับน้ำย่อย(กรด) ที่ร่างกายผลิตได้อย่างเพียงพอ กรดจึงล้นและไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร
- พฤติกรรมการทานอาหาร
การทานอาหารในปริมาณมากและการทานอาหารที่มีไขมันสูง ส่งผลให้ร่างกายผลิตกรดเพื่อย่อยอาหารในปริมาณที่มากตาม ซึ่งมีโอกาสที่กรดจะล้นและไหลย้อนขึ้น
- การดื่มแอลกอฮอล์
เนื่องจากการดื่มแอลกอฮอล์ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะอาหารคลายตัว ส่งผลให้กรดที่อยู่ภายในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมายังหลอดอาหาร และกลายเป็นโรคกรดไหลย้อนในที่สุด
- สวมเสื้อผ้ารัดเกินไป
การแต่งกายยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อโรคดังกล่าว โดยการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นบริเวณหน้าท้อง ส่งผลให้กระเพาะอาหารถูกบีบจากภายนอกและดันกรดให้ไหลย้อนเข้าสู่หลอดอาหาร
- พฤติกรรมการนอน
โดยการนอนหลังจากทานอาหารทันที (1-3 ชั่วโมงหลังจากการทานอาหาร) เป็นเวลาที่น้ำย่อยกำลังย่อยอาหาร ซึ่งขณะนอนร่างกายจะอยู่ในแนวราบ จึงโอกาสสูงที่กรดจะไหลย้อนกลับไปยังหลอดอาหาร
วิธีแก้กรดไหลย้อน
- ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดไขมันสะสมบริเวณหน้าท้อง เพราะน้ำหนักตัวที่มากส่งผลให้เกิดความดันในช่องท้อง
- หลีกเลี่ยงอาหารสุ่มเสี่ยงโรคกรดไหลย้อน
เช่นอาหารประเภทที่มีไขมันสูง อาหารที่ย่อยยาก ชา กาแฟ เพราะจะทำให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น
- เปลี่ยนพฤติกรรมการนอน
หลังทานข้าวเสร็จไม่ควรนอนเลย ควรหากิจกรรมทำหลังจากทานข้าวประมาณ 3-4 ชั่วโมงก่อนเข้านอน แต่ถ้าหากมีเวลาน้อยควรปรับตำแหน่งการนอนไม่ให้นอนในแล้วราบ แต่ทั้งนี้ไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการหนุนหมอนสูงเพราะจะทำให้ความดันในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น ให้หนุนผ้าบริเวณเหนือเอวให้สูงขึ้น
- ควรลดปริมาณอาหารในการทานแต่ละครั้งในน้อยลง เพื่อลดการผลิตการสร้างน้ำย่อยมาย่อยอาหารในกระเพาะ ไม่ควรรับประทานอาหารปริมาณมากในครั้งเดียว เพราะอาจทำให้ให้เกิดแรงดันที่หูรูดกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้กรดไหลย้อนกำเริบได้
- หลังรับประทานอาหาร ไม่ควรออกกำลังกายหนักๆ